ปัจจุบัน ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคออทิสติก (Autism Spectrum Disorder: ASD) และความผิดปกติของระบบประสาทได้รับความสนใจอย่างมาก เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของการวินิจฉัยในเด็กและผู้ใหญ่หลายกลุ่ม อย่างไรก็ตาม มีกรณีที่เรียกว่า "ออทิสติกเทียม" หรือการแสดงอาการที่คล้ายคลึงกับออทิสติก แต่ไม่ได้มาจากปัจจัยพื้นฐานของโรค ASD จริง ๆ ในบทความนี้ เราจะพูดถึงต้นเหตุที่เชื่อมโยงกับการใช้อุปกรณ์ดิจิทัลมากเกินไป ความแตกต่างระหว่างออทิสติกเทียมและความผิดปกติของระบบประสาท รวมถึงการรักษาทางประสาทวิทยาที่เหมาะสม
ออทิสติกเทียมคืออะไร?
ออทิสติกเทียม (Pseudo-Autism) หมายถึงการแสดงออกของอาการที่ดูเหมือนออทิสติก เช่น การสื่อสารที่ผิดปกติ การขาดทักษะทางสังคม และการมีพฤติกรรมซ้ำ ๆ แต่อาการเหล่านี้มักเกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น
การใช้อุปกรณ์ดิจิทัลมากเกินไป: เด็กที่ใช้จอคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือสมาร์ทโฟนเป็นเวลานานอาจพลาดโอกาสในการพัฒนาทักษะทางสังคม เช่น การสื่อสารแบบตัวต่อตัว การแสดงอารมณ์ และการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม
สภาพแวดล้อม: การเลี้ยงดูในสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เช่น ขาดการมีปฏิสัมพันธ์เชิงบวก
ปัญหาทางจิตใจ: เช่น ความเครียดเรื้อรัง หรือปัญหาครอบครัว
อาการของออทิสติกเทียมมักลดลงหรือหายไปเมื่อแก้ไขปัจจัยที่เป็นต้นเหตุ แตกต่างจาก ASD ที่เป็นภาวะเรื้อรังและต้องการการบำบัดเฉพาะทาง
ต้นเหตุจากการใช้อุปกรณ์ดิจิทัลมากเกินไป
การศึกษาพบว่าเด็กที่ใช้จอดิจิทัลนานเกินไป อาจมีปัญหาในการพัฒนาทักษะพื้นฐาน ได้แก่:
การลดการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม: การจดจ่ออยู่กับหน้าจอมากเกินไปทำให้เด็กไม่สนใจผู้คนรอบข้าง
ผลกระทบต่อระบบประสาท: แสงสีฟ้าจากจอดิจิทัลอาจรบกวนการทำงานของสมองในระยะยาว
การจำกัดเวลาการใช้จอ และสนับสนุนกิจกรรมที่มีปฏิสัมพันธ์กับครอบครัวและเพื่อน สามารถช่วยลดผลกระทบเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความผิดปกติจากระบบประสาทเกี่ยวข้องอย่างไร?
ระบบประสาทมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการพัฒนาของพฤติกรรมและการสื่อสาร ความผิดปกติในระบบนี้อาจนำไปสู่อาการที่คล้ายกับออทิสติก ตัวอย่างความผิดปกติจากระบบประสาทที่เกี่ยวข้อง ได้แก่:
โรคลมชัก (Epilepsy): อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมองและพฤติกรรม
โรคสมองพิการ (Cerebral Palsy): ทำให้เกิดปัญหาทางการเคลื่อนไหวและการสื่อสาร
ความบกพร่องทางพัฒนาการทั่วไป (Global Developmental Delay): ที่ส่งผลต่อการเรียนรู้และปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
การรักษาทางประสาทวิทยา
การประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญ:
การตรวจวินิจฉัยระบบประสาทโดยตรง เช่น การตรวจ EEG เพื่อตรวจหาคลื่นสมองผิดปกติ
การตรวจสมองด้วย MRI หรือ CT Scan เพื่อค้นหาความผิดปกติทางกายภาพ
การบำบัดเฉพาะทาง:
การกระตุ้นสมองด้วยวิธี PBM (Photobiomodulation) เพื่อปรับการทำงานของสมอง
การบำบัดทางกายภาพและการฝึกพฤติกรรม เช่น การฝึกใช้สายตาติดตามสิ่งแวดล้อม
การสนับสนุนจากครอบครัวและสังคม:
การให้คำปรึกษาผู้ปกครองเกี่ยวกับการจำกัดเวลาการใช้จอ
การสนับสนุนกิจกรรมที่ช่วยพัฒนาทักษะทางสังคม เช่น การเล่นกลุ่ม
บทสรุป
การใช้อุปกรณ์ดิจิทัลมากเกินไปอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ออทิสติกเทียม การเข้าใจต้นเหตุและความเชื่อมโยงนี้มีความสำคัญในการวางแผนการรักษาที่เหมาะสม การประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญทางประสาทวิทยา และการสนับสนุนทางครอบครัวสามารถช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของเด็กที่มีอาการคล้ายคลึงกับออทิสติก และส่งเสริมการพัฒนาทักษะที่สำคัญอย่างยั่งยืน

Kommentare