top of page

ผลของโปรโตคอล Theta-Beta Neurofeedback ต่อเด็กที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคสมาธิสั้น (ADHD)

รูปภาพนักเขียน: Nutdanai ChaiworachatNutdanai Chaiworachat

ผู้เขียน: Elimelech Duarte Hernández, Javier González Marqués และ Jesús M. Alvarado

ที่มา: Universidad Complutense, สเปน

ปี: 2016

1. บทนำ

โรคสมาธิสั้น (ADHD) ถูกอธิบายตาม DSM-IV-TR ว่าเป็นความผิดปกติที่มีลักษณะของการขาดสมาธิและ/หรือมีพฤติกรรมหุนหันพลันแล่นและอยู่ไม่นิ่งมากกว่าปกติ โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มย่อย ได้แก่:

  • กลุ่มที่มีปัญหาสมาธิ (Inattentive Type)

  • กลุ่มที่มีพฤติกรรมหุนหันพลันแล่นและอยู่ไม่นิ่ง (Hyperactive-Impulsive Type)

  • กลุ่มที่มีอาการทั้งสองแบบผสมกัน (Combined Type)

จากการศึกษาพบว่าเด็กที่เป็น ADHD มักมีคลื่นสมอง (EEG) ในช่วง Theta และ Alpha สูงกว่าคนทั่วไป และอาจมีอัตราส่วน Theta/Beta ที่ผิดปกติ ซึ่งมีผลต่อความสามารถในการควบคุมพฤติกรรมและสมาธิ

2. Neurofeedback คืออะไร?

Neurofeedback (EEG biofeedback) เป็นเทคนิคที่ช่วยให้ผู้เข้ารับการฝึกสามารถควบคุมกิจกรรมของสมองผ่านการให้ข้อมูลป้อนกลับแบบเรียลไทม์ โดยเฉพาะ โปรโตคอล Theta/Beta ที่ใช้ในการศึกษานี้ จะเน้นฝึกให้ลดระดับ Theta (8–12Hz) และเพิ่มระดับ Beta (12–20Hz) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการควบคุมสมาธิ

ผลลัพธ์ที่คาดหวังจาก Neurofeedback:

  • ช่วยเพิ่มสมาธิ

  • ลดพฤติกรรมหุนหันพลันแล่น

  • เสริมสร้างการควบคุมตนเอง

3. วิธีการวิจัย

กลุ่มตัวอย่าง

เด็ก 50 คน ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น ADHD

  • กลุ่มทดลอง (ฝึก Neurofeedback) 36 คน

    • กลุ่มที่มีปัญหาสมาธิ 16 คน

    • กลุ่มที่มีพฤติกรรมหุนหันพลันแล่น 20 คน

  • กลุ่มควบคุม (ไม่ได้รับการฝึก) 14 คน

เด็กทุกคนได้รับการประเมินก่อนและหลังการฝึกด้วย แบบทดสอบ IVA/CPT เพื่อวัดระดับสมาธิและการควบคุมตนเอง

ขั้นตอนการฝึก Neurofeedback

  • เด็กที่เข้าร่วมโปรแกรมจะต้องฝึก Neurofeedback สัปดาห์ละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 12.5 สัปดาห์ (รวม 25 ครั้ง)

  • การฝึกใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ให้รางวัลทางภาพและเสียงเมื่อลด Theta และเพิ่ม Beta

  • EEG ถูกบันทึกก่อนและหลังการฝึกเพื่อดูความเปลี่ยนแปลงของคลื่นสมอง

4. ผลลัพธ์ของการศึกษา

4.1 ผลต่อสมาธิและการควบคุมตนเอง

  • กลุ่มที่มีปัญหาสมาธิ (Inattentive Type) มีพัฒนาการที่ชัดเจนที่สุด

    • ค่า Attention Scale (FSAQ) ดีขึ้นมาก (p < .01, d = 1.89)

    • ค่า Response Control Scale (FSRCQ) ดีขึ้น (p = .023, d = 1.31)

  • กลุ่มที่มีพฤติกรรมหุนหันพลันแล่น (Hyperactive Type) มีพัฒนาการที่ดีขึ้นในเรื่องการควบคุมตนเอง

    • ค่า FSRCQ ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (p = .016, d = 1.21)

    • แต่ ค่า FSAQ ไม่แตกต่างกันมากนัก

ข้อสังเกต:กลุ่มที่มีปัญหาสมาธิมีการพัฒนาในทุกด้าน ขณะที่กลุ่มที่หุนหันพลันแล่นพัฒนาในด้านการควบคุมตัวเองเท่านั้น

4.2 การเปลี่ยนแปลงของ Theta/Beta Ratio

  • Theta/Beta Ratio ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในกลุ่มที่ฝึก Neurofeedback

  • กลุ่มที่มีปัญหาสมาธิ ลดลงอย่างรวดเร็วในช่วง 15 ครั้งแรก

  • กลุ่มที่หุนหันพลันแล่น ลดลงอย่างช้าๆ ตลอดการฝึก

4.3 ความสัมพันธ์ระหว่าง Theta/Beta Ratio และสมาธิ

การวิเคราะห์พบว่า Theta/Beta Ratio สามารถใช้ทำนายคะแนนสมาธิของเด็กหลังการฝึกได้ (r = .54) แสดงให้เห็นว่าหากเด็กสามารถควบคุม Theta/Beta ได้ดีขึ้น ก็จะมีสมาธิดีขึ้นตามไปด้วย

5. บทสรุปและข้อเสนอแนะ

ข้อค้นพบหลัก:

  1. Neurofeedback แบบ Theta/Beta มีประสิทธิภาพในการช่วยให้เด็ก ADHD มีสมาธิและควบคุมตนเองได้ดีขึ้น

  2. เด็กที่มีปัญหาสมาธิได้รับประโยชน์จาก Neurofeedback มากกว่ากลุ่มที่หุนหันพลันแล่น

  3. การฝึกช่วยลด Theta/Beta Ratio ซึ่งสัมพันธ์กับความสามารถในการควบคุมสมาธิ

  4. การตอบสนองต่อการฝึกขึ้นอยู่กับลักษณะของ ADHD เด็กที่มีปัญหาสมาธิอาจตอบสนองได้เร็วกว่าเด็กที่หุนหันพลันแล่น



 
 
 

コメント

5つ星のうち0と評価されています。
まだ評価がありません

評価を追加
bottom of page