top of page

ความผิดปรกติ ความไม่ยืดหยุนของออทิสติก กับความเข้าใจทางด้าน neuroscience

รูปภาพนักเขียน: Nutdanai ChaiworachatNutdanai Chaiworachat

ออทิสติกมักมีความผิดปกติด้านความยืดหยุ่นทางความคิดและพฤติกรรม (cognitive and behavioral inflexibility) ซึ่งเกี่ยวข้องกับโครงสร้างและหน้าที่ของสมองในระดับ neuroscience โดยเฉพาะระบบที่เกี่ยวข้องกับ executive function และ sensory processing


1. ความไม่ยืดหยุ่นในเด็กออทิสติกคืออะไร?

เด็กที่มีภาวะออทิสติกมักจะแสดงออกถึง

✅ ความยากลำบากในการเปลี่ยนแปลงกิจวัตรหรือกฎเกณฑ์

✅ การหมกมุ่นกับสิ่งที่สนใจเป็นพิเศษ (restricted interests)

✅ การตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นที่แตกต่างไปจากเด็กทั่วไป (เช่น ไวต่อเสียง หรือสัมผัส)

✅ ความยากลำบากในการปรับตัวเมื่อเจอสถานการณ์ใหม่

สิ่งเหล่านี้เชื่อมโยงกับกลไกทางสมองที่ทำให้เกิด rigidity หรือความไม่ยืดหยุ่นทางพฤติกรรม


2. ระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับความไม่ยืดหยุ่น

(1) วงจร Executive Function (Prefrontal Cortex & Basal Ganglia)

  • สมองส่วนหน้า (Prefrontal Cortex) ควบคุม ความสามารถในการปรับตัว (Cognitive Flexibility)

  • Basal Ganglia มีบทบาทในการควบคุมพฤติกรรมซ้ำ ๆ (Repetitive Behaviors)

  • เด็กออทิสติกอาจมีการทำงานของ Prefrontal Cortex และ Basal Ganglia ที่ผิดปกติ ทำให้เกิดพฤติกรรมที่ซ้ำซากและความยากลำบากในการเปลี่ยนแปลง'



(2) การเชื่อมต่อของสมองที่ผิดปกติ (Brain Connectivity)

  • การศึกษาพบว่าเด็กออทิสติกมักมี การเชื่อมต่อของสมองที่ไม่สมดุล

    • เชื่อมต่อภายใน (local connectivity) สูงเกินไป

    • เชื่อมต่อระหว่างโซนต่าง ๆ ของสมอง (long-range connectivity) ต่ำกว่าปกติ

  • ส่งผลให้ สมองยึดติดกับรูปแบบเดิม ๆ และมีความยืดหยุ่นต่ำ



(3) ระบบประมวลผลทางประสาทสัมผัส (Sensory Processing & Insular Cortex)

  • สมองส่วน Insular Cortex มีบทบาทสำคัญใน การรับรู้และประมวลผลความรู้สึก

  • เด็กออทิสติกบางคนมี ความไวต่อสิ่งกระตุ้นทางประสาทสัมผัสสูงกว่าปกติ หรือ บางคนอาจตอบสนองช้ากว่าปกติ

  • สิ่งนี้อาจทำให้พวกเขารู้สึกเครียดและต้องการยึดติดกับกิจวัตรเดิมเพื่อควบคุมสิ่งแวดล้อม



3. ความเข้าใจเชิง Neuroscience นำไปสู่แนวทางช่วยเหลือเด็กออทิสติกอย่างไร?

1️⃣ ฝึก Cognitive Flexibility ผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย

  • ใช้เกมหรือกิจกรรมที่ฝึกให้เด็กปรับตัว เช่น เกมเปลี่ยนกติกา หรือกิจกรรมที่ต้องตัดสินใจหลายทางเลือก

2️⃣ สนับสนุนการทำงานของ Executive Function

  • ใช้ภาพหรือ visual schedule ช่วยจัดลำดับกิจกรรมเพื่อให้เด็กคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น

  • ใช้ social stories หรือการเล่าเรื่องจำลองสถานการณ์เพื่อช่วยให้เด็กเรียนรู้การปรับตัว

3️⃣ ลดความตึงเครียดจาก Sensory Overload

  • ให้เด็กมีมุมสงบที่ปลอดภัยในบ้านหรือโรงเรียน

  • ใช้เทคนิค sensory integration therapy เช่น การเล่นด้วยเนื้อสัมผัสที่หลากหลาย

4️⃣ ใช้วิธี Positive Reinforcement

  • สอนการปรับตัวทีละขั้น และให้รางวัลเมื่อเด็กสามารถปรับตัวได้สำเร็จ


🧠 พื้นที่สมองตามหลัก Neuroscience มักเน้นกระตุ้นเพื่อแก้ไขปัญหาความยืดหยุน

📍 Prefrontal Cortex → ปรับปรุงการตัดสินใจและความยืดหยุ่นทางความคิด

📍 Temporal Lobes → เพิ่มการประมวลผลทางภาษาที่สัมพันธ์กับการปรับตัว

📍 Default Mode Network (DMN) → ปรับสมดุลระหว่างความสนใจและการจดจ่อ


แนวทางการรักษาความไม่ยืดหยุ่นในเด็กออทิสติกด้วย Neurofeedback (NFB) และ Photobiomodulation (PBM)


การใช้ Neurofeedback (NFB) และ Photobiomodulation (PBM) เป็นแนวทางที่น่าสนใจสำหรับการช่วยพัฒนา ความยืดหยุ่นทางพฤติกรรมและความคิด ในเด็กออทิสติก เพราะทั้งสองวิธีสามารถ ปรับปรุงการทำงานของสมอง ได้โดยตรง


1. Neurofeedback (NFB) สำหรับเด็กออทิสติก

🔬 หลักการของ NFB คืออะไร?

NFB เป็นการฝึกสมองโดยใช้ EEG (Electroencephalography) เพื่อวัดคลื่นสมอง และช่วยให้เด็กเรียนรู้ การควบคุมการทำงานของสมอง ผ่าน การให้รางวัลทางประสาทสัมผัส (เช่น ภาพหรือเสียง)


📌 ประโยชน์ของ NFB ในการเพิ่มความยืดหยุ่น

ปรับปรุงการทำงานของสมองส่วน Executive Function → ทำให้เด็กสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและรับมือกับสถานการณ์ใหม่ได้ดีขึ้น

ลดพฤติกรรมซ้ำ ๆ และอาการวิตกกังวล → ส่งผลให้เด็กสามารถเปิดรับประสบการณ์ใหม่ ๆ

ปรับปรุงสมดุลของคลื่นสมอง → ลดอาการ over-arousal หรือ under-arousal ของเด็กที่มีปัญหาทางประสาทสัมผัส


🎯 รูปแบบโปรโตคอลของ NFB ที่นิยมใช้ในเด็กออทิสติก

📍 Low Beta / SMR Training → เพิ่มสมาธิและลดความเครียด

📍 Alpha Training → ช่วยให้สมองผ่อนคลายและลด Overstimulation

📍 Theta/Beta Ratio Training → ปรับสมดุลการทำงานของสมอง


🧠 ตำแหน่งสมองที่ฝึก:

1️⃣ Prefrontal Cortex (Fz, Fp1, Fp2) → เพิ่มความสามารถในการปรับตัวและการควบคุมอารมณ์

2️⃣ Anterior Cingulate Cortex (ACC, Cz) → ลดพฤติกรรมซ้ำ ๆ และปรับสมดุลอารมณ์

3️⃣ Sensory Motor Cortex (C3, C4, Cz) → ปรับการรับรู้ทางประสาทสัมผัส


2. Photobiomodulation (PBM) กับความไม่ยืดหยุ่นของเด็กออทิสติก

🔬 PBM คืออะไร?

PBM เป็นการใช้ แสงเลเซอร์กำลังต่ำ (LLLT) หรือแสงใกล้อินฟราเรด (NIR) เพื่อกระตุ้นการทำงานของเซลล์สมอง โดยเฉพาะการเพิ่มพลังงานให้กับ ไมโตคอนเดรีย ซึ่งเป็นศูนย์พลังงานของเซลล์สมอง

📌 ประโยชน์ของ PBM ต่อความยืดหยุ่นทางพฤติกรรม

เพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังสมอง → ทำให้สมองได้รับออกซิเจนและพลังงานมากขึ้น

ปรับปรุงการทำงานของเครือข่ายสมอง (Brain Connectivity) → ช่วยให้เด็กสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ดีขึ้น

ลดการอักเสบของสมอง (Neuroinflammation) → ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมซ้ำ ๆ ในเด็กออทิสติก

กระตุ้นการทำงานของสมองส่วน Prefrontal Cortex และ Limbic System → ส่งผลให้มีการควบคุมอารมณ์และความคิดที่ดีขึ้น


🧠 พื้นที่สมองที่ PBM มักเน้นกระตุ้น

📍 Prefrontal Cortex → ปรับปรุงการตัดสินใจและความยืดหยุ่นทางความคิด

📍 Temporal Lobes → เพิ่มการประมวลผลทางภาษาที่สัมพันธ์กับการปรับตัว

📍 Default Mode Network (DMN) → ปรับสมดุลระหว่างความสนใจและการจดจ่อ


🧠 ตำแหน่งสมองที่ใช้ PBM:

1️⃣ Prefrontal Cortex (F3, F4, Fp1, Fp2) → เพิ่มความสามารถในการปรับตัว

2️⃣ Temporal Lobes (T3, T4) → ปรับปรุงการประมวลผลภาษาและอารมณ์

3️⃣ Default Mode Network (Pz, Fz) → ปรับการเชื่อมต่อของสมอง


🧩 3. การเสริมด้วย Cognitive Training & Behavioral Therapy

🔸 Cognitive Behavioral Therapy (CBT)

  • ใช้ในเด็กโตและวัยรุ่นเพื่อ ฝึกการปรับความคิดและพฤติกรรม

  • ฝึกให้เด็กเรียนรู้ ทางเลือกใหม่ เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง

🔸 Cognitive Flexibility Training (Game-based Therapy)

  • "Set-Shifting Games" เช่น Stroop Task, Wisconsin Card Sorting Test (WCST)

  • "Mindfulness Training" เพื่อช่วยให้เด็กปรับตัวต่อสิ่งเร้าได้ดีขึ้น

🔸 Sensory Integration Therapy (SI)

  • หากเด็กมีปัญหาประมวลผลทางประสาทสัมผัส (Sensory Processing Disorder)

  • ใช้ Deep Pressure, Proprioceptive Input, และ Vestibular Training


ทำไมต้องแก้ไข Default Mode Network (DMN)?

 DMN คืออะไร?

Default Mode Network (DMN) เป็นเครือข่ายสมองที่ทำงานเมื่อเราอยู่ใน โหมดพัก (Resting State) หรือกำลังคิดเกี่ยวกับตนเอง (Self-referential thinking) เช่น

  • คิดซ้ำ ๆ (Rumination)

  • จดจ่อกับอดีตหรือกังวลอนาคตมากเกินไป

  • ยากที่จะโฟกัสกับปัจจุบัน

🔹 ในเด็กออทิสติกหรือคนที่มี Cognitive Inflexibility พบว่า DMN อาจทำงานมากเกินไปหรือขาดความสมดุลกับ Task-Positive Network (TPN) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการจดจ่อและแก้ปัญหา


🔬 Neural Jitter เชื่อมโยงกับ DMN อย่างไร?

1️⃣ DMN ต้องการการสื่อสารที่แม่นยำระหว่างเครือข่ายสมอง

  • Neural Jitter สูง ทำให้การสื่อสารของ Prefrontal Cortex (PFC), Posterior Cingulate Cortex (PCC) และ Temporal Lobes ผิดพลาด

  • ทำให้เกิด Overactivity ของ DMN → ส่งผลให้เด็กออทิสติกเกิดอาการ คิดซ้ำ ๆ (Rumination), หมกมุ่นกับความคิดเดิม ๆ และปรับตัวได้ยาก

2️⃣ Neural Jitter ส่งผลต่อ Executive Function และ Cognitive Flexibility

  • ทำให้การ Switch ระหว่าง Default Mode Network (DMN) และ Task-Positive Network (TPN) ทำได้ช้าลง

  • ส่งผลให้ เด็กออทิสติกติดอยู่ในโหมด DMN นานเกินไป → ยากต่อการจดจ่อและปรับตัวเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลง

3️⃣ Neural Jitter อาจเป็นสาเหตุของ Sensory Overload และ Anxiety

  • เด็กที่มี Neural Jitter สูง อาจประมวลผลสิ่งเร้าภายนอกผิดเพี้ยน → นำไปสู่ Sensory Overload และทำให้ DMN ยิ่งทำงานหนักขึ้น

  • ส่งผลต่อ ความวิตกกังวล (Anxiety) และการรับมือกับสถานการณ์ใหม่ ๆ


🔬 Neural Jitter ส่งผลต่อความไม่ยืดหยุ่นอย่างไร?

1️⃣ Neural Jitter ทำให้ Default Mode Network (DMN) ขาดสมดุล

🔸 DMN ควบคุมการคิดเกี่ยวกับตัวเองและอดีต (Self-referential thinking)

🔸 เมื่อ Neural Jitter สูง DMN ทำงานมากเกินไป → เกิดการ คิดซ้ำ ๆ, วิตกกังวล, หรือจดจ่อกับสิ่งเดิม ๆ

🔹 ผลกระทบ:❌ เด็กออทิสติกอาจมี พฤติกรรมซ้ำ ๆ และ ไม่สามารถเปลี่ยนโฟกัสไปที่สิ่งใหม่ได้ง่าย


2️⃣ Neural Jitter กระทบ Task-Positive Network (TPN)

🔸 TPN ควบคุมการคิดแก้ปัญหาและความยืดหยุ่นทางความคิด

🔸 Neural Jitter สูง ทำให้ DMN ↔ TPN ไม่สมดุลกัน → เด็กติดอยู่ในโหมดคิดเดิม ๆ

🔹 ผลกระทบ:

❌ ปรับตัวกับสถานการณ์ใหม่ได้ยาก

❌ ติดอยู่กับกฎเกณฑ์เดิม ๆ หรือแพทเทิร์นการคิดเดิม


3️⃣ Neural Jitter รบกวนการทำงานของ Prefrontal Cortex (PFC) และ Anterior Cingulate Cortex (ACC)

🔸 PFC และ ACC เป็นศูนย์กลางของ Executive Function ซึ่งควบคุมการปรับตัวและการตัดสินใจ

🔸 Neural Jitter ทำให้ PFC ทำงานไม่เสถียร → ส่งผลให้เกิดอาการไม่ยืดหยุ่น

🔹 ผลกระทบ:

❌ เปลี่ยนพฤติกรรมหรือแนวคิดได้ช้า

❌ ควบคุมอารมณ์และการตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้ไม่ดี



ดู 4 ครั้ง0 ความคิดเห็น

Comments

Rated 0 out of 5 stars.
No ratings yet

Add a rating
bottom of page