top of page

ออทิสติกเทียม: ผลกระทบของการใช้หน้าจอต่อระบบประสาท

รูปภาพนักเขียน: Nutdanai ChaiworachatNutdanai Chaiworachat

ในยุคดิจิทัลปัจจุบัน การใช้โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต และโทรทัศน์ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในครอบครัวที่มีเด็กเล็ก การให้เด็กอยู่หน้าจอเป็นเวลานานๆ กลายเป็นเรื่องปกติสำหรับผู้ปกครองที่ต้องการความสะดวกสบายในการดูแลเด็ก แต่สิ่งที่น่ากังวลคือการเกิดภาวะที่เรียกว่า “ออทิสติกเทียม” (Pseudo-autism) ซึ่งเป็นผลกระทบทางระบบประสาทที่คล้ายคลึงกับอาการของโรคออทิสติกแท้จริง โดยมีความเกี่ยวข้องกับการใช้หน้าจออย่างไม่เหมาะสมในวัยเด็ก


ออทิสติกเทียมคืออะไร?

ออทิสติกเทียม หมายถึง ภาวะที่เด็กแสดงพฤติกรรมและอาการที่คล้ายกับโรคออทิสติก เช่น การขาดการสื่อสาร การไม่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าทางสังคม และการแสดงพฤติกรรมที่ซ้ำซากหรือไม่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม ภาวะนี้ไม่ได้เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมหรือพัฒนาการของสมองโดยตรง แต่เป็นผลกระทบที่เกิดจากการเลี้ยงดูและการใช้สื่อหน้าจอในช่วงเวลาสำคัญของการพัฒนาระบบประสาท

ผลกระทบของหน้าจอต่อสมองเด็ก


การใช้หน้าจอมากเกินไปในวัยเด็ก ส่งผลเสียต่อสมองในหลายมิติ ได้แก่:

  1. การลดทอนพัฒนาการทางภาษา

    • การใช้หน้าจอเป็นระยะเวลานาน ลดโอกาสที่เด็กจะมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับผู้ปกครองและคนรอบข้าง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาทักษะทางภาษา

  2. การเปลี่ยนแปลงในวงจรสมอง

    • งานวิจัยพบว่าการสัมผัสกับหน้าจออย่างต่อเนื่องอาจรบกวนวงจรประสาทในสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมอารมณ์ การตัดสินใจ และความสามารถในการจดจ่อ การกระตุ้นด้วยแสงสีฟ้าจากหน้าจออาจทำให้การหลั่งฮอร์โมนเมลาโทนิน (Melatonin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยควบคุมนาฬิกาชีวภาพของร่างกายลดลง ส่งผลให้เด็กมีปัญหาในการนอนหลับ อันเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการพัฒนาความจำและการเรียนรู้ การทำงานของสมองส่วนหน้าที่เกี่ยวข้องกับการคิดเชิงตรรกะและการควบคุมพฤติกรรมก็ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงเมื่อเด็กไม่ได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ

  3. การลดประสิทธิภาพของการเชื่อมโยงทางประสาท

    • ในเด็กที่ใช้หน้าจอมากเกินไป การเชื่อมโยงระหว่างสมองส่วนต่างๆ อาจลดลง ทำให้ส่งผลต่อการเรียนรู้และการพัฒนาทักษะทางสังคม

  4. ผลกระทบต่อการสร้างสื่อสารเคมีในสมอง

    • การใช้หน้าจอเป็นระยะเวลานานอาจส่งผลต่อการหลั่งสารสื่อประสาท เช่น โดพามีน (Dopamine) และเซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการควบคุมอารมณ์และความสามารถในการโฟกัส การกระตุ้นด้วยเนื้อหาที่น่าสนใจหรือภาพเคลื่อนไหวที่รวดเร็วจากหน้าจอทำให้สมองหลั่งโดพามีนในปริมาณสูงเกินไป ส่งผลให้เกิดอาการเสพติดการใช้หน้าจอในเด็ก ในขณะเดียวกัน ระดับเซโรโทนินที่ไม่สมดุลอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล และการแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว ผลกระทบเหล่านี้สะท้อนถึงความสำคัญของการดูแลปริมาณและเนื้อหาของการใช้หน้าจอในวัยเด็ก


ปัจจัยเสี่ยงและแนวทางป้องกัน

1. เวลาหน้าจอที่เหมาะสม องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำว่า เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปีไม่ควรใช้หน้าจอเลย และเด็กอายุ 2-5 ปี ควรใช้หน้าจอไม่เกินวันละ 1 ชั่วโมง

2. การสร้างกิจกรรมทางเลือก การสร้างกิจกรรมที่ส่งเสริมพัฒนาการ เช่น การอ่านหนังสือ เล่นของเล่นที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ หรือกิจกรรมกลางแจ้ง จะช่วยลดเวลาที่เด็กใช้หน้าจอและเพิ่มโอกาสในการเรียนรู้

3. การมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง ผู้ปกครองควรมีบทบาทในการมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กอย่างใกล้ชิด เช่น การพูดคุย เล่น หรือสอนสิ่งใหม่ๆ ที่ช่วยกระตุ้นการเรียนรู้


สรุป

แม้ว่าเทคโนโลยีจะมีประโยชน์มากมาย แต่การใช้อย่างไม่เหมาะสมในวัยเด็กสามารถก่อให้เกิดผลกระทบทางลบต่อพัฒนาการทางระบบประสาท ซึ่งนำไปสู่อาการที่คล้ายคลึงกับโรคออทิสติก ผู้ปกครองและสังคมควรตระหนักถึงความสำคัญของการใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมและการส่งเสริมพัฒนาการของเด็กในช่วงวัยที่สำคัญ เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว


อ้างอิง

  • Christakis, D. A., Ramirez, J. S. B., Ferguson, S. M., & Wartella, E. A. (2018). Children and screen media: From passive to interactive consumption. Pediatric Clinics of North America, 65(1), 45-60.

  • World Health Organization (WHO). (2019). Guidelines on physical activity, sedentary behaviour and sleep for children under 5 years of age. Geneva: WHO Press.




ดู 1 ครั้ง0 ความคิดเห็น

Comments

Rated 0 out of 5 stars.
No ratings yet

Add a rating
bottom of page